วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

เฉลยข้อสอบหน่วยที่ 1-9

แบบทดสอบบทที่ 1

1.      ง. การถ่ายทอดข้อมูลจากแหล่งหนึ่งไปยังอีกแหล่งหนึ่ง
2.      ง. ช่องทางการรับ


แบบทดสอบบทที่ 2

1.      ข. เครือข่าย WAN
2.      ค. สามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ทีละหลาย ๆ งาน
3.      ข. เครือข่าย WAN 
4.      ค. เครือข่าย LAN
5.      ข. เชื่อมต่อในพื้นที่ที่จำกัด
6.      ก. เป็นสถาบันกำหนดมาตรฐานของโปรโตคอล ที่ใช้เชื่อมต่อ LAN
7.      ข. Network Interface Card 
8.      ง. เครือข่ายที่ไม่ใช้สายในการเชื่อมต่อแต่ใช้คลื่นวิทยุแทน
9.      ค. HUB
10.    ง. ข้อ ข. และ ค. ถูก


แบบทดสอบบทที่ 3
1.        ก. 7 ชั้น
2.        ง. Network Layer ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างผู้ใช้งานกับโปรแกรมใช้งาน
3.        ข. เครื่องเครือข่าย
4.        ค. โปรโตคอล IP
5.        ข. โปรโตคอล ICMP
6.        ก. โปรโตคอล UDP
7.        ค. Router
8.        ข. การใช้อุปกรณ์ต่อพ่วงร่วมกัน หมายถึง การใช้อุปกรณ์ทุก ๆ อุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมในระบบ
9.        ก. เป็นสถาบันกำหนดมาตรฐานของโปรโตคอล ที่ใช้เชื่อต่อ LAN
10.    ข. มาตรฐานการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์



แบบทดสอบบทที่ 4

1.      ค. สายแลน
2.      ข. 5 ระดับ
3.      ก. LAN
4.      ง. ถูกทุกข้อ
5.      ข. 4 ข้อ
6.      ง. ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.
7.      ค. เกตเวย์
8.      ข. สามารถป้องกันไวรัสได้อย่ามีประสิทธิภาพ
9.      ง. นักล้วงข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
10.    ก. 2 ประเภท



แบบทดสอบบทที่ 9

1.      ค. Search Engine
2.      ค. ภาษาสื่อสารของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต
3.      ง. ARPANET
4.      ข. Domain Name Server (DNS)
5.      ข. IP Address
6.      ก. ผุ้ให้บริการทางด้านการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
7.      ง. ตำแหน่งที่อยู่ของเว็บไซต์
8.      ค. โมเด็ม
9.      ค. E-Commerce
10.    ข. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อถึงกันทั่วโลก

หน่วยที่ 9 ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

     ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้รวดเร็ว มีการใช้ทรัพยากรร่วมกันโดยผ่านสายสื่อสาร ซึ่งเราเรียกว่า การเชื่อมต่อแบบเครือข่าย(Network)ถ้าต่อเชื่อมกันใกล้ ๆ ในพื้นที่เดียวกันเรียกว่า LAN(Local Area Network)ถ้าการเชื่อมต่อเครือข่ายทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่า LAN เรียกว่า MAN(Metropolitan Area Network)ถ้าเชื่อมต่อกันไกล ๆเช่น ข้ามประเทศเรียกว่า WAN(Wide Area Network)
     การดำเนินธุรกิจในยุคโลกาภิวัฒน์หรือยุคเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ข้อมูลต่าง ๆ ขององค์กรมีความสำคัญอย่างมาก และถือเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด และถือเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด สำหรับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งผู้บริหารและองค์กรที่เล็งเห็นถึงประโยชน์ จากการใช้เครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศที่ชาญฉลาดในการสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น ที่จะได้พบความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ตลอดจนสามารถสร้างโอกาสให้กับองค์กรให้มีความได้เปรียบในเชิงธุรกิจ ในยุคเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัฒน์ที่มีการแข่งขันกันสูง และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
     การเพิ่มขีดความสามารถและความชาญฉลาดเข้าไปในระบบเครือข่ายอย่างมากมาย ผลที่ตามมาก็คือ โครงสร้างพื้นฐานในการสื่อสารที่ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพสำหรับการสื่อสารทั้งทางด้านเสียง ภาพและข้อมูลในระบบเครือข่าย หรือถ้าจะพูดให้ง่ายเข้าก็อาจจะเรียกสั้น ๆ ได้ว่าเป็นระบบเครือข่ายสารสนเทศอัจฉริยะ ซึ่งจะเป็นระบบสารสนเทศที่ประกอบไปด้วยความคล่องตัว ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และสามารถปรับแต่ง หรือเพิ่มขยายได้โดยทุกส่วนขององค์ประกอบที่ได้กล่าวมานั้น สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในเชิงธุรกิจแล้วนั้นจะมีผลกระทบโดยตรงต่อเป้าหมายขององค์กรธุรกิจ จากการที่ระบบเครือข่ายสารสนเทศได้เข้ามาผลักดันให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและย่นระยะเวาลาในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ซึ่งหมายความว่า องค์กรนั้น ๆ จะสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วตามสภาวะการณ์ของตลาดในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัฒน์ที่ได้ย่นย่อโลกของเราให้เล็กลงอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน

อินเทอร์เน็ต (Internet) 

     เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นแรงผลักดันในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการทำงาน การเล่น และการเรียนรู้ สำหรับผู้บริหารที่มองโลกในแง่ดีสักหน่อยก็คงเห็นด้วยว่าการนำเทคโนโลยีด้านเครือข่ายและสารสนเทศมาใช้งานนั้น สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นองค์กรทางภาครัฐหรือภาคเอกชน เทคโนโลยีเครือข่ายที่มักจะนำมาใช้นั้นที่เรารู้จักกันอย่างก็คือ “อินเทอร์เน็ต(Internet)”

     อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง แต่เนื่องจากมีขนาดใหญ่  มีผู้ใช้งานหลายสิบล้านคนกระจายไปทั่วโลก จึงมีข้อมูลมากมายมหาศาลแลกเปลี่ยนกันในเครือข่าย  สำหรับประเทศไทยนั้น อินเทอร์เน็ตเริ่มมีบทบาทอย่างมากในช่วงปี 2530 –2535 โดยเริ่มจากการเป็นเครือข่ายในระบบคอมพิวเตอร์สถาบันการศึกษาโดยมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งเอเซีย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสถาบันแรก ๆ แล้วจึงเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2535 จึงมีการเปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์  โดยบริษัทแรกที่เปิดดำเนินการเป็นผู้บริการอินเทอร์เน็ต ISP คือบริษัท KSC คอมเมอเชียล อินเทอร์เน็ต หลังจากนั้นก็มีการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลายและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งขณะนี้เวิร์ลด์ไวด์เว็บ(www.)กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกา อย่างไรก็ตาม อินเทอร์เน็ต บางครั้งก็มีการเรียกย่อเป็น เน็ต(Net)หรือ The  Net  ด้วยเช่นเดียวกัน  อีกคำหนึ่งที่หมายถึงอินเทอร์เน็ตก็คือ เว็บ (Web) และ เวิร์ลด์ไวด์เว็บ(World–Wide–Web)จริง ๆ แล้ว เว็บเป็นเพียงบริการหนึ่งของอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แต่บริการนี้ถือว่าเป็นบริการที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด

บริการต่าง  ๆ  ของอินเตอร์เน็ต
     
     WWW(World Wide Web)คือ บริการข่าวสารผ่านทางหน้าเอกสารอินเทอร์เน็ต(เว็บเพจ)มีรูปแบบเหมือนกับสื่อสิ่งพิมพ์อื่น ๆ เช่น นิตยสารและหนังสือ แต่มีข้อดีที่ตัวหนังสือของเว็บเพจสามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บเพจอื่น ๆ ได้ทำให้การค้นหาข้อมูลทำได้โดยง่าย และยังสามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ทั่วโลกได้ทันทีในราคาถูก ข้อมูลมีทั้งรูปภาพ ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว เสียง และวีดีโด  ข้อมูลอยู่ในรูป Interactive Multimedia

FTP(File Transfer Protocol)คือ บริการไฟล์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต เราสามารถนำไฟล์รูปภาพ เสียง ฯลฯ ลงมาเก็บที่เครื่องของเราโดยผ่านโปรแกรมในการเชื่อมต่อหรือผ่านทางอินเตอร์เน็ตก็ได้

E–mail(electronic mail)คือ บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ มีความสามารถเหมือนกับจดหมายจริง ๆ แต่ส่งผ่านไปหรือรับทางเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตแทน ทำให้เร็วและประหยัดกว่าการส่งจดหมายแบบเดิม

IRC(Internet Relay Chat)เป็นแหล่งพูดคุยกันในอินเทอร์เน็ต สามารถคุยโต้ตอบกันได้ทันที โดยการพิมพ์ข้อความ โดยผ่านโปรแกรม 
     เช่น Pirch, ICQ, Qq–thai เป็นต้น


            อินทราเน็ตและเอ็กซ์ทราเน็ต(Intranet and Extranet)

     เนื่องจากอินเทอร์เน็ตได้รับความสนใจและมีประโยชน์มากสำหรับองค์กรต่าง ๆ เพราะสามารถสื่อสารคนจำนวนมากเข้าด้วยกัน เพื่อเผยแพร่ข้อมูลโดยเสียค่าใช้จ่ายต่ำถึงแม้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้จะต่างรุ่นต่างแบบกัน ในอดีตองค์กรหลาย ๆ แห่งเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลในการลงทุนกับเทคโนโลยีที่สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในองค์กร ซึ่งผลที่ได้บางครั้งก็ไม่น่าพอใจ 
     ด้วยเหตุที่องค์กรต่าง ๆ จึงได้นำเทคโนโลยีอินทราเน็ตเข้ามาใช้ เพื่อเป็นคำตอบสำหรับการสื่อสารข้อมูลภายในองค์กร โดยใช้เทคโนโลยีเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต

อินทราเน็ต(Intranet)หมายถึง เครือข่ายเฉพาะส่วนขององค์กรหรือหน่วยงานที่นำซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์แบบอินเทอร์เน็ตมาประยุกต์ใช้ อินทราเน็ตจึงเป็นเครือข่ายเพื่อระบบงานภายใน โดยมุ่งเน้นข้อมูลและสารสนเทศเพื่อบริการแก่บุคลากร โดยมีคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่เป็นอินเทอร์เน็ตซอฟต์แวร์เพื่อให้บริการข้อมูลในรูปแบบเดี่ยวกับที่ใช้งานในอินเทอร์เน็ตและขยายเครือข่ายไปทุกแผนก ให้บุคลากรสามารถเรียกค้นข้อมูลและสื่อสารถึงกันได้
ประโยชน์ของอินทราเน็ต
  1. เผยแพร่เอกสารที่ต้องการสื่อสารให้พนักงานทราบทางอินทราเน็ตโดยนำไปใส่ในเว็บ ซึ่งพนักงานสามารถเปิดดูได้ วิธีนี้สามารถประหยัดกระดาษและลดค่าใช้จ่ายได้มาก
  2. ลดช่องว่างในการประสานงานระหว่างพนักงาน สามารถนำข้อมูลที่ต้องการให้ทีมงานออกความคิดเห็น รวบรวมการตอบสนองที่ได้มาประมวลผลได้ทันทีและสามารถสื่อสารความคืบหน้าของงาน ตามงาน และนัดเวลาประชุมได้โดย
  3. ผ่านอินทราเน็ต
  4. สามารถเชื่อมต่อระบบอินทราเน็ตกับฐานข้อมูล พนักงานสามารถค้นหาและสอบถามข้อมูลที่ต้องการได้ในทันที
  5. ลดเวลาในการเรียนรู้ พนักงานใช้อินเทอร์เน็ตเป็นอยู่แล้วไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้ ลดค่าใช้จ่ายในการอบรม
เอ็กทราเน็ต(Extranet)เป็นระบบเครือข่ายที่เกิดจากการประยุกต์ใช้อินทราเน็ต โดยขยายขอบเขตการใช้เครือข่ายจากภายในไปยังภายนอกองค์กร ซึ่งในปัจจุบันธุรกิจมักมีเครือข่ายกัน เช่น ระหว่างผู้ขายวัตถุดิบกับองค์กร หรือธุรกิจที่มีสามารถอยู่ห่างไกลกันคนละจังหวัด เป็นต้น

หน่วยที่ 8 การตรวจสอบและแก้ไขปัญหาของระบบเครือข่าย

การตรวจสอบและแก้ไขปัญหาของระบบเครือข่าย

     ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ถูกติดตั้งไม่ดีจะทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายได้ โดยเบื้องต้นในที่นี้จะดำเนินการตรวจสอบอุปกรณ์การ์ดเครือข่ายและอุปกรณ์อย่างฮับและสายแลม เป็นต้น

การตรวจสอบการ์ดเครือข่าย

     1. ที่เดสก์ท็อป ให้คลิกขวาที่ไอคอน My Computer แล้วเลือกรายการ Properties
     2. คลิกที่แท็บ Hardware
     3. คลิกที่ปุม Device Manager


     4. ให้ตรวจสอบดูอุปกรณ์เครือข่ายตรง Network Adapter หากพบสัญลักษณ์เป็นเครื่องหมายตกใจ นั่นหมายความว่าพบปัญหาเบื้องต้นที่การ์ดเครือข่ายแล้ว ซึ่งอาจเกิดจากการไม่ได้ติดตั้งไดรฟ์เวอร์ของการ์ดเครือข่ายบนเครื่องนั่น ๆ
     5. ทำการคลิกขวาที่ที่ชื่อการ์ดเครือข่ายนั้นแล้วเลือกรายการ Properties
     6. คลิกที่แท็บ Driver
     7. คลิกปุ่ม Update Driver


     8. กำหนดให้เครื่องค้นหาแบบอัตโนมัติ ด้วยการเลือกรายการ Install the software automatically และคลิกปุ่ม Next
     9. เมื่ออัพเดตเรียบร้อยแล้วให้คลิก Finish
   10. จากนั้นให้คลิก Close

ตรวจสอบสายแลน

     ให้ดำเนินการตรวจสอบสายแลนว่าได้เสียบเข้าไปในเครื่องเรียบร้อยแล้วหรือยังรวมถึงสายแลนที่ใช้เชื่อมต่อจะต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และหากเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงสองเครื่องสายแลนจะต้องเป็นชนิดสายไขว้
     โดยตรวจสอบปลั๊กสายแลนว่าเสียบเข้าในเครื่องแล้วหรือยัง


ตรวจสอบอุปกรณ์ฮับหรือสวิตซ์

     ในกรณีที่เครือข่ายใช้ฮับหรือสวิตซ์ให้ดำเนินการตรวจสอบว่าอุปกรณ์ฮับหรือสวิตซ์เสียบปลั๊กไฟหรือยัง รวมถึงปลั๊กสายแลนว่าเชื่อมต่อลงในแต่ละพอร์ตแน่นหรือยัง



วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

หน่วยที่ 7 การแชร์ไฟล์และเครื่องพิมพ์บนเครือข่าย

การแชร์ไฟล์และเครื่องพิมพ์บนเครือข่าย

การแชร์ไฟล์

     ต้อง set ค่า แต่ละเครื่องก่อน โดยจำไว้ว่า ชื่อกลุ่ม(workgroup)ต้องเหมือนกัน แต่ชื่อเครื่องห้ามเหมือนกัน

   1. Set Workgroup ทุกเครื่องให้เหมือนกัน โดยการ คลิกขวาที่ Mycomputer แล้วกด Properties แล้วเลือก Computer Nameช่อง Computer name ใส่ชื่ออะไรก็ได้ ห้ามซ้ำกับเครื่องอื่น ส่วน ช่อง Work Group ต้องเหมือนกักด OK Restart เครื่อง

   2. สร้าง Folder ที่ต้องการ Share โดยเริ่มจาก คลิกขวาที่ Drive ที่ต้องการ Share กด if you understand กด if you understand................ อีกรอบ แล้วเลือก Just enable file sharingหากติ๊กถูกที่ Allow metwork user to change my files จะเป็นการทำให้เครื่องอื่นมาแก้ไข file ในเครื่องเราได้เมื่อเสร็จแล้ว DRIVE จะเป็นรูปมือ

   3. เข้าไปดู My network place  แล้ว กดที่ view workgroup computer ก็จะเห็น ชื่อคอมที่แชร์ เราสามารถเข้าไปเอาข้อมูลได้เลย
การแชร์ PRINTER (Share Printer)
เมื่อแชร์ Network เรียบร้อยแล้ว เราสามารถ แชร์เครื่องพิมพ์ได้ด้วย 

Set เครื่องที่ต่อกับเครื่อง PRINTER

   1. คลิกปุ่มคำสี่ง Start > Settings > Printer and Fax
   2. คลิกขวาที่ไอคอนเครื่องพิมพ์นั้น ๆ เลือก Sharing... 
   3. ช่อง Share this printer สามารถใส่ชื่ออะไรก็ได้ แล้วกด OK 


หน่วยที่ 6 การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบเวิร์กกรุ๊ปด้วย windows xp

การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบเวิร์กกรุ๊ปด้วย windows xp
 
 
ขั้นตอนการสร้างสายแลนชนิด RJ-45
     ในเบื้องต้นของการเชื่อมโยงเครือข่ายแบบเวิร์กกรุ๊ปจำเป็นต้องมีสายแลน ซึ่งสามารถหาซื้อสำเร็จรูปได้ตามห้างร้านไอทีทั่วไป โดยจะต้องคัดเลือกสายให้ถูกต้อง ว่าจะใช้สายแบบต่อตร(Straight Through)หรือใช้สายแบบไขว้(Crossover)ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการ แต่กรณีต้องการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เพียง 2 เครื่อง หากใช้สายแบบไขว้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ฮับหรือสวิตช์
 
สำหรับอุปกรณ์ที่จะต้องเตรียมเพื่อดำเนินการสร้างสายแลนมีดังนี้
1. สายยูทีพี CAT-5 ที่มีความยาวเหมาะสมกับการใช้งาน(แต่ไม่เกิน 100 เมตร)
2. หัวเชื่อมต่อหรือปลั๊ก RJ-5 จำนวน 2 หัว
3. คีมย้ำหัว RJ-5
4. มีดคัดเตอร์
สำหรับปลายสายอีกฝั่งหนึ่ง ในกรณีที่ต้องการสร้างสายแลนแบบเชื่อมต่อตรง ก็ให้ดำเนินการตามนี้ ก็จะต้องทำการเรียงสีสายสัญญาณใหม่ ดังนี้
ขาวเขียว/เขียว,ขาวส้ม/น้ำเงิน,ขาวน้ำเงิน/ส้ม,ขาวน้ำตาล/น้ำตาล
ขั้นตอนการติดตั้งเครือข่ายแบบเวิร์กกรุ๊ปด้วย Windows XP
     ข้อกำหนดเบื้องต้น เพื่อให้การติดตั้งเครือข่ายเวิร์กกรุ๊ปตามตัวอย่างต่อไปนี้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามต้องการ ดังนี้
1. เตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่  1 (Computer#1)
2. เตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่  2 (Computer#2)
3. เปลี่ยนมุมมองของเมนูเป็นชนิด Classic Start Menu
4. เปลี่ยนมุมมองของ Control Panel เป็น Classic View
     คอมพิวเตอร์เครื่องที่ 1 (Computer#1)  ที่ติดตั้ง Windows XP Service Pack 2 เรียบร้อยแล้ว
     คอมพิวเตอร์เครื่องที่ 2(Computer#2)  ที่ติดตั้ง Windows XP Service Pack 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน

ขั้นตอนการเปลี่ยนมุมมองของเมนูให้เป็นชนิด Classic Start Menu

   1.ไปที่ทาสก์บาร์แล้วคลิกขวาที่เมาส์เลือกรายการ Properties
   2.คลิกที่แท็บ Start Menu
   3.เลือกรายการคำสั่ง Classic Start menu
   4.กดปุ่ม OK

ก็จะได้เมนูใหม่ในมุมมองของ Classic Start menu

ขั้นตอนการเปลี่ยนมุมมองของ Control Panel ให้เป็น Classic View
   1.คลิกปุ่ม Start
   2.เลือกเมนู Settings
   3.เลือกเมนู Control Panel
   4.คลิกที่ Switch to Classic View
ก็จะได้มุมมอง Control Panel ในรูปแบบ Classic View
 
การกำหนดหมายเลขไอพีแอดเดรสให้กับคอมพิวเตอร์เครื่องแรก
     ให้นำสายแลนแบบไขว้ที่สร้างขึ้นมาเสียบเข้ากับซ็อกเก็ตแลนทั้งสองเครื่อง หรือกรณีมีอุปกรณ์ฮับ ก็ได้ดำเนินการเสียบเข้ากับฮับได้เลย แต่กรณีนี้จะต้องเป็นสายแลนแบบต่อตรงที่ไม่ใช่แบบไขว้
   1.ให้สังเกตที่ทาสก์บาร์แสดงถึงคอมพิวเตอร์ที่ยังไม่ได้เชื่อมต่อสาย โดยหลังจากที่ต่อสายแลนเข้ากับคอมพิวเตอร์แล้ว ไอคอนนี้ก็จะเป็นซึ่งหมายความว่ายังไม่สามารถเชื่อมต่อได้ ทั้งนี้เนื่องจากยังไม่ได้มีการกำหนดค่านั่นเอง
   2.ที่Control Panel ให้ดับเบิลคลิกที่ไอคอน Network Connection
   3.จะเกิดไดอะล็อกบ็อกซ์ชื่อ Network Connectionsขึ้นมาโดยให้นำเมาส์ไปชี้ แล้วคลิกขวาที่ไอคอน Local Area Connection แล้วเลือกรายการ Properties
   4.คลิกที่แท็บ General
   5.คลิกเครื่องหมายถูกทั้งหมดตามรูป ซึ่งปกติจะถูกกำหนดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้คลิกที่รายการ Internet Protocol(TCP/P)จนเกิดแถบสี
   6.คลิกปุ่ม Properties
   7.เลือกรายการคำสั่ง Use the following IP address ทั้งนี้เนื่องจากต้องการกำหนดหมายเลขไอพีแอดเดรสเอง
   8.กรอกหมายเลข IP:192.168.0.1 และ Subnet mask: 255.255.255.0
   9.ตามด้วยปุ่ม OK
   10.แล้วคลิกที่เซ็กบ็อกซ์ Show icon notification area when connected เพื่อให้แสดงไอคอนตรงทาสก์บาร์เมื่อได้รับการเชื่อมต่อ

หน่วยที่ 5 อุปกรณ์ในระบบเครือข่าย

อุปกรณ์ในระบบเครือข่าย
     การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นระบบเครือข่ายได้นั้น จะต้องอาศัยอุปกรณ์สื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์(Network Device)ซึ่งทำหน้าที่บและส่งข้อมูลโดยผ่านทางสื่อกลาง ไม่ว่าจะเป็นสื่อกลางแบบใช้สาย และสื่อกลางแบบไร้สาย ซึ่งอุปกรณ์สื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีดังนี้

   1. เครื่องทวนสัญญาณ(repeater)เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับสัญญาณดิจิทัล แล้วส่งต่อออกไปยังอุปกรณ์ต่ออื่น เหตุที่ต้องใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณ เนื่องจากการส่งสัญญาณไปในตัวกลางที่เป็นสายสัญญาณนั้น เมื่อระยะทางมากขึ้นแรงดันของสัญญาณจะลดลงเรื่อยๆ ทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณในระยะทางไกลๆ ได้ ดังนั้นการใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณจะทำให้สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลขึ้น โดยสัญญาณไม่สูญหาย

   2. ฮับ(hub)เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่ง หรือเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้าด้วยกัน สัญญาณที่ส่งมาจากฮับจะกระจายไปยังทุกเครื่องที่ต่ออยู่กับฮับ ซึ่งแต่ละเครื่องจะเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาถึงตนเองเท่านั้น

   3. บริดจ์(bridge)ใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายหลายเครือข่ายเข้าด้วยกัน โดยจะต้องเป็นเครือข่ายที่ใช้โพรโทคอลเดียวกัน ซึ่งมีความสามารถมากกว่าฮับและอุปกรณ์ทวนสัญญาณ คือ สามารถกรองข้อมูลที่ส่งต่อได้ โดยการตรวจสอบว่า ข้อมูลที่ส่งนั้นปลายทางอยู่ที่ใด หากเครื่องปลายทางอยู่ภายในเครือข่ายเดียวกันกับเครื่องส่ง ก็จะส่งข้อมูลนั้นไปในเครือข่ายเดียวกันเท่านั้น ไม่ส่งไปยังเครือข่ายอื่น

   4. อุปกรณ์จัดหาเส้นทาง(router)สามารถกรองข้อมูลได้เช่นกับบริดจ์ แต่จะมีความสามารถมากกว่า โดยจะหาเส้นทางในการส่งกลุ่มข้อมูล(data packet)ไปยังเครื่องปลายทางในระยะทางที่สั้นที่สุดได้

   5. สวิตซ์(switch)นำความสามารถของฮับกับบริดจ์มารวมกัน แต่การส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งจะไม่กระจายไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเหมือนกับฮับ เพราะสวิตซ์จะทำหน้าที่รับกล่มข้อมูลมาตรวจสอบก่อนว่าเป็นของคอมพิวเตอร์เครื่องใด แล้วนำข้อมูลนั้นส่งต่อไปยังคอมพิวเตอร์เป้าหมาย ซึ่งช่วยลดปัญหาการชนกันหรือความคับคั่งของข้อมูล

   6. เกตเวย์(gateway)เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกันไม่ว่าเครือข่ายนั้นจะใช้โพรโทคอลตัวใดก็ตาม เนื่องจากเกตเวย์สามารถแปลงรูปแบบแพ็คเก็ตของโพรโทคอลหนึ่งไปเป็นรูปแบบของอีกโพรโทคอลหนึ่งได้ เพื่อให้เหมาะสมกัยการใช้งานในเครือข่าย

มาตรการความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน (Basic Security Measures)

   ระบบคอมพิวเตอร์ทุกระบบ จำเป็นต้องมีมาตรการความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้งาน มักจะมีโปรแกรมป้องกันไวรัสเพื่อป้องกันไวรัสเข้าสู่ระบบ และแพร่ระบาดบนเครือข่าย นอกจากนี้ อาจจำเป็นต้องล็อกเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อมิให้ผู้อื่นเข้ามาเปิดใช้งาน การล็อกกลอนประตู และการเข้ารหัสข้อมูล เพื่อป้องกันการลักลอยนำข้อมูลไปใช้งาน สิ่งเหล่านี้จัดเป็นการป้องกันความปลอดภัย ซึ่งก็มีหลายวีให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สำหรับเนื้อหาต่อไปนี้จะทำให้เราๆได้ทราบถึงมาตรการด้านความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่พึงมี ซึ่งแต่ละมาตรการก็จะมีเทคนิควิธีที่แตกต่างกันไป โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ประเภทด้วยกันดังนี้

     - ความปลอดภัยบนสภาพแวดล้อมภายนอก (External Security)
     - ความปลอดภัยด้านการปฏิบัติงาน (Operational Security)
     - การตรวจตราเฝ้าระวัง (Surveillance)
     - การใช้รหัสผ่านและระบบแสดงตัวตน (Passwords and ID Systems)
     - การตรวจสอบ (Auditing)
     - สิทธิ์การเข้าถึง (Access Rights)
     - การป้องกันไวรัส (Guarding Against Viruses)